วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้

แนวทางการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคต

        การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
        ศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ช่วงเวลาปี ค.ศ.2001-2100 ซึ่งเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร สังคม วัฒนธรรม ส่งผลให้การจัดการเรียนรู้จึงได้รับผลกระทบ

        วัตถุประสงค์ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้     
        มี 4 ประการ คือ         
          1. ตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้เพื่อทักษะแห่งอนาคตใหม่ในศตวรรษที่ 21
     
          2. ตอบสนองความทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร          

          3. ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของหลักสูตร และสาระการเรียนรู้ 
          4. ตอบสนองการเรียนรู้รายบุคคลบนโลกสังคมออนไลน์
   
 
       ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ

          ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ ความสามารถ สมรรถนะที่ต้องมีในแต่ละบุคคลเพื่อให้สามารถปรับตัว และดำเนินชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตในสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีในช่วงปี ค.ศ.2001-2100

        บทบาทของผู้สอนยุคใหม่ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
          บทบาทของผู้สอนก่อนศตวรรษที่ 21 และในศตวรรษที่ 21


        แนวทางในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคต 

            1. การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้สาหรับการศึกษาในระบบโรงเรียน            
                1.1 มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้
             
                1.2 มุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองด้วยการปฏิบัติ
             
                1.3 เน้นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
               
                1.4 เน้นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเกิดทักษะชีวิตและการทำงานในอนาคตโดยอาจ                       ใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บุคคลมาถ่ายทอดให้ความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพต่าง ๆ

            2. การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้สาหรับนอกระบบและอัธยาศัย
                2.1 มุ่งเน้นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งที่เป็นอาคารสถานที่ ธรรมชาติ                             โดยเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้เชิงธุรกิจที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และมีการจำหน่าย                             สินค้าในแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้นั้น ๆ
                2.2 เน้นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้                         นั้น ๆ
             
                2.3 เน้นการจัดแสดง การสาธิต เพื่อให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ในการเรียนรู้

        เทคนิควิธีการสอนแบบโครงงานในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้                   มี 2 ประเภท คือ

          1. วิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)


             คือ เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้และค้นพบความรู้ ตามหลักการข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสิ่งต่าง ๆ โดยมีขั้นตอนการแสวงหาความรู้อย่างมีระบบ 5 ขั้นของวิทยาศาสตร์ มาแก้ปัญหาด้วยตนเอง ได้แก่

        ขั้นตอนวิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)
        1. ขั้นกำหนดปัญหา และทำความเข้าใจถึงปัญหา
        2. ขั้นแยกปัญหา และวางแผนแก้ปัญหา
        3. ขั้นลงมือแก้ปัญหาและเก็บข้อมูล
        4.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมความรู้เข้าด้วยกันและแสดงผล
        5. ขั้นสรุปและประเมินผลหรือขั้นสรุปและการนำไปใช้

   
        2. วิธีการสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning)

            
             ลักษณะของวิธีการสอนแบบโครงงาน
             1) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยผ่านประสบการณ์ โดยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จากการกระทำ (Learning By Doing)           
             2) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เลือกกระทำในสิ่งที่สนใจ
ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง มีการวางแผน มีการแก้ปัญหาการทำงานอย่างมีระบบเพื่อให้กิจกรรมนั้นสำเร็จ


             ประเภทของวิธีสอนแบบโครงงาน มี 3 ประเภท ได้แก่
             1) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามวัตถุประสงค์ของเนื้อหาสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น ๆ คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายโดยกิจกรรมต่าง ๆ ผู้สอนนั้นต้องวางแผนให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะการคิด ทักษะการสื่อสารและความร่วมมือ ทัศนคติ ค่านิยม ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร

             2) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามความสนใจของผู้เรียน คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนนั้นเป็นผู้วางแผน และระดมสมองเพื่อกำหนดขั้นตอนการทำโครงงานของผู้เรียนโดยที่ผู้เรียนนั้นทำตามความต้องการ และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่ม โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือเป็นการบูรณาการทักษะ ความรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และทักษะต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร

             3) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผสมผสานบูรณาการแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้อื่น ๆ และเทคโนโลยีการศึกษา คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้สอนได้นำหลักการแนวคิดทฤษฎีการศึกษา การเรียนรู้ และเทคโนโลยีการศึกษา เช่น การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยการนำตนเอง การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามแนวคิดจิตตปัญญา การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต เป็นต้น

             กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบ่งเป็น 3 ระยะ
คือ

             ระยะที่ 1 การเริ่มต้นโครงงาน เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจ ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เลือกเรื่องที่จะศึกษาร่วมกัน
             ระยะที่ 2 การพัฒนาโครงงาน เป็นขั้นที่ผู้เรียนกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหา แล้วตั้งสมมติฐานเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
             ระยะที่ 3 ขั้นสรุป เป็นระยะที่ผู้สอน และผู้เรียนแบ่งปันประสบการณ์ การทำงานและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จมีกิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการ ดังนี้
             1. ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็กๆ
             2. ผู้เรียน นำเสนอผลงาน (แสดงเป็นแผงโครงงาน) ให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้ สรุปและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้

แหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

สถาบันวิทยาศาตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา

แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้นประเภทวัตถุ อาคาร และสถานที่




               สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลมหาวิทยาลัยบูรพา หรือ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล หรือชื่อที่นิยมเรียกกันว่า พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน เป็นสถาบันวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยบูรพา ตั้งอยู่ในเนื้อที่ของมหาวิทยาลัยบูรพา ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทยและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี

การจัดแสดง ประกอบด้วย 2 ส่วน



              ส่วนที่ 1 สถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม


              เป็นส่วนที่จัดแสดงเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและความเป็นอยู่ของสัตว์ทะเลชนิดต่างๆที่อาศัยอยู่ในเขตน่านน้ำของไทย โดยทรัพยากรที่ใช้ในการให้ความรู้คือสิ่งมีชีวิตในทะเลชนิดต่างๆทั้งพืชและสัตว์ที่ยังมีชีวิต โดยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะถูกเลี้ยงในระบบน้ำหมุนเวียนแบบปิดที่มีระบบยังชีพสำหรับให้สิ่งมีชีวิตต่างๆเหล่านี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ในแต่ละตู้มีการจัดสภาพให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด แต่ละตู้จะมีป้ายเพื่อบ่งบอกชนิดสัตว์ทะเลที่อยู่ในตู้ทั้งชื่อสามัญและชื่อทางวิทยาศาสตร์ โดยหัวข้อต่างๆที่ให้ความรู้สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 หัวข้อใหญ่ ดังแสดงในแผนผังการจัดแสดงในสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม ได้แก่


              1. สัตว์ที่อาศัยอยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลง ตามปกติแล้วระดับน้ำของทะเลจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นประจำทุกวัน คือ วันละ ครั้งหรือสองครั้ง เนื่องจากอิทธิพลของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ โดยเราทราบได้จากการสังเกตในเวลาที่มี น้ำขึ้น-น้ำลง ตามชายฝั่งหรือตามเกาะต่าง ๆ
โดยทั่ว ๆ ไปบริเวณเขตน้ำขึ้น-น้ำลง จะมีสิ่งมีชีวิตนานาชนิดอาศัยอยู่มากมาย ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของบริเวณเขตน้ำขึ้น-น้ำลง และสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บริเวณชายฝั่งทะเลที่เป็นบริเวณเขตน้ำขึ้น-น้ำลงนั้น จะมีลักษณะแตกต่างกันไป ซึ่งเราสังเกตเห็นได้อย่างเด่นชัด เช่น หาดทราย หาดหิน และหาดโคลน เป็นต้น

              สำหรับส่วนที่จัดแสดงไว้ในสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็มของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล บางแสนนี้ เป็นบริเวณเขตน้ำขึ้น-น้ำลง บริเวณที่เป็นหาดหิน และมีน้ำขังอยู่ตามแอ่งหิน ซึ่งลักษณะเช่นนี้เรียกกันทั่วไปว่า "แอ่งน้ำขึ้น-น้ำลง" (Tidal Pool) ตามธรรมชาติตามแอ่งน้ำขึ้น-น้ำลงเช่นนี้จะพบ กุ้ง ลูกปลาบางชนิด หอยนางรม ปูเสฉวน เม่นทะเล ดอกไม้ทะเล ดาวทะเล ฯลฯ

              2. ปลาในแนวปะการัง บริเวณแนวปะการังนับเป็นแหล่งที่มีความ อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของทะเล เพราะสัตว์ทะเลหลาย ชนิดอาศัยบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่หลบ ซ่อนภัยและเป็นแหล่งอาหาร นอกจากนี้แล้ว ยังใช้เป็นที่สำหรับผสมพันธุ์ วางไข่ และเจริญเติบ โตของสัตว์ตัวอ่อนอีกด้วย สำหรับปลาที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นปลาที่มีขนาดและมีสีสันสวย งาม เช่น ปลาสลิด ปลาการ์ตูน ปลาเขียวพระอินทร์ ปลาผีเสื้อ และปลาโนรี เป็นต้น

              3. การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตในทะเลเหมือนกับสิ่งมีชีวิตบน บกคือ มีการอยู่ร่วมกัน และพึ่งพาอาศัยกัน ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การอยู่ร่วมกันแบบที่ เรียกว่า "ซิมไบโอซิส" (Symbiosis) ซึ่งหมายถึงการที่สิ่ง มีชีวิตสองชนิดอาศัยอยู่รวมกัน หรืออยู่ ปนกันโดยต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ซึ่ง กันและกัน เช่น ปลาการ์ตูน หรือ ปลาอินเดียแดงสามารถอยู่ร่วมกับ ดอกไม้ทะเล (sea anemone) ได้ โดยที่ปลา เหล่านี้จะอาศัยดอกไม้ทะเลเป็นที่หลบ ภัยและสืบพันธุ์ ส่วนดอกไม้ทะเลจะได้รับ ประโยชน์จากปลาโดยการล่อเหยื่อหรือชัก นำเหยื่อให้เข้ามาใกล้พอที่ดอกไม้ทะเล จะจับเป็นอาหารได้
ดอกไม้ทะเลมีหนวดอยู่เป็นจำนวนมากและ ที่บริเวณปลายหนวดของมันจะมีเข็มพิษหรือ ที่เรียกว่า "นีมาโตซีส" (Nematocyst) อยู่เป็นจำนวน มาก นอกจากเข็มพิษนี้แล้ว บริเวณหนวดของดอกไม้ ทะเลอาจ มีเมือกเหนียว ๆ อยู่ด้วย เวลาที่ปลาว่ายเข้า มาใกล้ตัวมันจะใช้หนวดพันปลาไว้ แล้ว จะปล่อยเข็มพิษ ทำให้ปลาสลบหรือช็อคตายแล้ว กินปลานั้นเป็นอาหาร
สำหรับเข็มพิษของดอกไม้ทะเลเหล่านี้ไม่ เป็นอันตรายต่อปลาการ์ตูน ปลาอินเดียแดงหรือปลาที่ อยู่ร่วมกับดอกไม้ทะเลเหล่านี้ เพราะปลาดัง กล่าวมีสารเคมีที่มีลักษณะเป็นเมือกหุ้ม ตัวอยู่โดยรอบ ซึ่งเป็นลักษณะที่ธรรมชาติสรรค์ สร้างให้มันอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยทั่ว ๆ ไปดอกไม้ ทะเลอาจไม่มีพิษกับคน ยกเว้นในกรณีของ บางคนอาจมีอาการแพ้เกิดขึ้นถ้าไป สัมผัสเข้า โดยจะเกิดผื่นแดง และมีอาการคันหรือ บวมได้

             4. สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังน้ำเค็มเป็นสัตว์โครงร่างแข็งที่ไม่ใช่กระดูกอยู่ภายในลำตัว และ บางชนิดมีเปลือกแข็งหุ้มอยู่ภายนอก เพื่อป้องกัน อันตราย และใช้ยึดของกล้ามเนื้อ เช่น หอย หมึก กุ้ง หนอนทะเล และ ฟองน้ำ ว่าเป็น สัตว์กลุ่มใหญ่ในทะเลและมหาสมุทร สัตว์จำพวกนี้ มีลักษณะแตกต่างกันออกไปทั้งขนาด รูปร่าง ที่ อยู่อาศัย และอุปนิสัยในการกินอาหาร บางชนิดมี อันตราย แต่หลายชนิดก็มีประโยชน์ และมีความสำคัญ ทางเศรษฐกิจ สัตว์เหล่านี้ ได้แก่ สัตว์ในไฟลั่ม โพริเฟอร์รา (Phylum Porifera) ไฟลั่มซีเลนเท อราต้า (Phylum Coelenterata) ไฟลั่มมอลลัสกา (Phylum Mollusca) ไฟลั่มอาร์โทรโปดา (Phylum Arthropoda) และ ไฟลั่มเอคไคโนเดิร์มมาต้า (Phylum Echinodermata) เป็นต้น


             5. ปลาเศรษฐกิจ ในทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนเป็นบริเวณที่ค่อนข้างมีปลาชุกชุม และปลาหลายชนิดเป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เกี่ยวกับประเภทของปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ

                 1. พวกที่นำมาเป็นอาหาร ส่วนมากเป็นปลาที่พบเห็นโดยทั่วไป และชาวประมงจับขึ้นมาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากปลาเศรษฐกิจที่นำมาเป็นอาหารนั้นมีจำนวนมาก ฉะนั้นเราจึงขอแนะนำให้รู้จักเพียงบางชนิด เช่น ปลากะรัง หรือที่เรียกกันว่า "ปลาเก๋า" นอกจากนี้ก็มีปลากะพง ชนิดต่าง ๆ ปลาอีคุด ปลาสีขน ปลาสร้อยนกเขา และ ปลาหูช้าง เป็นต้น

                 2. พวกที่นำมาเลี้ยงเพื่อความสวยงาม ส่วนมากเป็นที่อาศัยอยู่ในบริเวณปะการัง ได้แก่ ปลาสลิดทะเล ปลานกแก้ว ปลานกขุนทอง ปลาสินสมุทร ปลาผีเสื้อ ปลาข้าวเม่าน้ำลึก ปลาเหล่านี้นอกจากจะนำมาเป็นอาหารได้แล้ว ปัจจุบันยังนิยมนำมาเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามด้วย ทำให้มีราคาค่อนข้างแพง เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ฉะนั้นเราจึงจัดปลาสวยงามเหล่านี้ไว้ในกลุ่มปลาเศรษฐกิจด้วย ปลาในกลุ่มนี้มีลักษณะหลายแบบแตกต่างกันออกไป บางชนิดมีลวดลายและสีสันที่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและเพื่ออำพรางศัตรู เช่น ปลาผีเสื้อปากยาว เป็นต้น จะสังเกตเห็นว่าครีบหลังมีจุดดำขนาดใหญ่ ซึ่งนักมีนวิทยาสันนิษฐานว่าจุดดำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงครีบหลังของปลาผีเสื้อปากยาวนั้นมีลักษณะดูคล้ายกับตาของปลาที่มีขนาดใหญ่จึงทำให้ปลาอื่น ๆ ไม่กล้าเข้ามาทำอันตราย
นอกจากนี้แล้วม้าน้ำซึ่งเป็นปลาที่มีรูปร่างแปลกจัดเป็นปลาเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งด้วย เพราะนิยมนำมาเลี้ยงเป็นปลาตู้และยังส่งเป็นสินค้าออกในรูปของการตากแห้ง เพราะว่าม้าน้ำนี้ใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของยาจีน
ม้าน้ำ เป็นปลาที่มีลักษณะพิเศษ คือ ม้าน้ำตัวผู้จะมีถุงหน้าท้องเป็นที่สำหรับฟักไข่ที่ได้รับการผสมด้วยเชื้อตัวผู้แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นที่สำหรับให้ตัวอ่อนของลูกม้าน้ำเจริญเติบโตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งจนกว่ามันจะช่วยตัวเองได้ จึงจะออกมาอาศัยอยู่ภายนอก
             6. ปลารูปร่างแปลกและปลามีพิษ ปลาบางชนิดมีรูปร่างแปลก โดยมีรูปร่างหรือสีกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เพื่อหลบหลีกศัตรูหรือพรางตาเหยื่อ ปลาบางจำพวกนอกจากมีรูปร่างแปลกแล้ว ยังมีสีสันสวยงามและมีพิษด้วย ปลาประเภทนี้มีประมาณ 500 ชนิด รวมถึงปลาบางชนิดที่รับประทานแล้วเป็นพิษต่อมนุษย์
โดยทั่วไปปลาทะเลต่าง ๆ นั้นมีรูปร่างผิดแปลกแตกต่างกันไปตามอุปนิสัยการกินอาหารการหลบซ่อนตัว หรือการอยู่อาศัย บางชนิดมีรูปร่างแบนลง เพื่อให้เหมาะสมกับการหากินบริเวณหน้าดิน เช่น ปลากระเบน ปลาลิ้นหมา ปลาวัว ปลาไหลทะเล ปลาปักเป้า ปลาสิงโต ปลาเหาฉลาม ปลาฉลามกบหรือฉลามแมว ปลาอุบ และ ปลากะรังหัวโขน เป็นต้น

             7. ปลาที่อาศัยในมหาสมุทร ในทะเลและมหาสมุทรมีปลาขนาดใหญ่หลายชนิดอาศัยอยู่ มีขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ ปลาที่มีขนาดเล็กรวมทั้งพวกที่มีสีสันสวยงามหลายพวก มักจะอาศัยอยู่ใกล้ฝั่งหรืออยู่ในที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ มีที่กำบังและหลบภัย อาศัยอยู่มากในช่วงความลึกไม่เกิน 1,000 เมตร จากผิวน้ำ ได้แก่ ปลาที่เรารู้จักดี เช่น ปลาโอ ปลากะพงขาว ปลาหมอทะเล ปลาอินทรีย์ ปลากระเบน ปลาหมอทะเล ปลาฉลาม เป็นต้น ปลาอีกหลายชนิดอาศัยอยู่ลึกลงไปเกือบถึงพื้นสมุทร ซึ่งลึกประมาณ 2,000 เมตร เช่น ปลาคอด เป็นต้น

             ส่วนที่ 2 พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล

             ส่วนแรก  จัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เกี่ยวกับพระราชกรณีกิจทางด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และด้านวิทยาศาสตร์การประมง
    
    

               ส่วนที่สอง จัด แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องราวของทะเล ระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล รวมทั้งความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ ดังมีรายละเอียดดังนี้

               1. นิทรรศการเรื่องราวของอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตในทะเล โดย ให้ความรู้ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆที่อาศัยอยู่ในทะเล คือ แพลงก์ตอนซึ่งมีบทบาทสำคัญของห่วงโซ่อาหารในทะเล สาหร่าย และหญ้าทะเล ฟองน้ำ สัตว์ที่มีโพรงลำตัว เช่น ปะการัง ดอกไม้ทะเล แมงกะพรุน เป็นต้น สัตว์จำพวกหนอนทะเล เช่น หนอนตัวแบนหนอนปล้อง หนอนริบบิ้น เป็นต้น สัตว์จำพวกหอย เช่น หอยฝาเดียว หอยฝาคู่ หมึก และหอยงวงช้าง เป็นต้น สัตว์ที่มีข้อปล้องในทะเล เช่น ปู กุ้ง กั้ง และแมงดาทะเล เป็นต้น สัตว์จำพวกคอร์เดทในทะเล เช่น เพรียงหัวหอม แอมฟิออกซัส และสัตว์ทะเลที่มีกระดูกสันหลัง ชนิดต่างๆ ได้แก่ ปลาทะเล โลมา พะยูน เต่าทะเล และจระเข้น้ำเค็ม รวมทั้งเรื่องราวของทะเล และสิ่งมีชีวิตในทะเลยุคดึกดำบรรพ์ เป็นต้น

               2. นิทรรศการเรื่องราวของทะเล และระบบนิเวศในทะเล ในส่วนนี้จะกล่าวถึงการแบ่งเขตของทะเล และระบบนิเวศต่างๆในทะเล รวมทั้งพืช และสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในแต่ละระบบนิเวศ โดยเริ่มตั้งแต่ ระบบนิเวศของป่าชายเลน ระบบนิเวศหาดหิน ระบบนิเวศหาดทราย และหาดโคลน ระบบนิเวศแนวปะการัง เป็นต้น

               3. นิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ เป็นส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ เช่น เป็นแหล่งทำการประมงโดยใช้เครื่องมือประมงทะเล เช่น โป๊ะ และเรือประมงทะเลชนิดต่างๆ เป็นเส้นทางค้าขาย และเดินทางติดต่อกันของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งต้องพบกับอุปสรรคนานาประการจากคลื่น ลม และพายุ จนทำให้เรืออัปปางเกิดเป็นเรื่องราวของการขุดค้น และศึกษาโบราณคดีใต้น้ำเป็นต้น

               4. ห้องพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย และวิวัฒนาการของหอย ในห้องนี้จะจัดแสดงเกี่ยวกับเปลือกหอยที่พบในทะเลกลุ่มต่างๆ ได้แก่ ลิ่นทะเล หอยฝาเดียว หอยฝาคู่ หอยงวงช้าง และหอยงาช้าง เป็นต้น รวมทั้งนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับหอยแต่ละกลุ่ม วิวัฒนาการของหอยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และการแบ่งกลุ่มของหอยที่มีอยู่ในโลก

สถานที่ตั้ง
สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิทยาลัยบูรพา เลขที่ 169 มหาวิทยาลัยบูรพา ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี 20131





เปิดทำการ
เปิดทำการ ทุกวัน เวลา 08.30 - 17.00 น.


อัตราค่าเข้าชม
คนไทย เด็ก 30 บาท ผู้ใหญ่ 60 บาท ชาวต่างชาติ เด็ก 100 ผู้ใหญ่ 180 บาท การเข้าชมเป็นหมู่คณะและมีวิทยากรบรรยายต้องติดต่อล่วงหน้าก่อน 7 วัน




ขอขอบคุณ
ว่าที่เรือตรี ดร.อุทิศ บำรุงชีพ อาจารย์ประจำวิชา การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
ภาควิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี
วิทยากรผู้ให้ความรู้ คุณจิรศักดิ์ แช่มชื่น สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลมหาวิทยาลัยบูรพา 


การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้

แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทบุคคล

ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ขนมเรไร ร้านขนมคุณยาย ตลาดเก่าร้อยปี อ่างศิลา



ผู้สืบทอด คุณรุตา เหลืองอ่อน


           เป็นภูมิปัญญาประเภทบุคคลแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทบุคคล หมายถึง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม มีผลงานได้รับการยกย่อง เป็นที่ยอมรับของสังคมซึ่งถือเป็นตัวอย่างต้นแบบกับบุคคลรุ่นหลังสืบทอดไปในหลายสาขาอาชีพ


วิดีโอแนะนำร้านขนมคุณยาย



ประวัติของการเริ่มทำขนม

          เนื่องจากสมัยก่อนคนในยุคนั้นทำขนมเพื่อรับประทานกันเองจนมีฝีมือ จึงได้ทำขายและสืบทอดกันมา ดังเช่น ร้านขนมคุณยาย ที่คุณยายได้ทำขนมขายมาตั้งแต่ตอนสมัยสาว ๆ และสืบทอดมารุ่นต่อรุ่นจนถึงปัจจุบัน และขนมภายในร้านขนมของคุณยายมีขนมที่ขึ้นชื่อคือ ขนมเรไร (รังไร) และยังมีขนมที่เป็นสินค้าระดับ OTOP คือ ขนมข้าวตู ข้าวตอก รวมทั้งยังมีขนมอื่น ๆ ให้ได้ลิ้มรสอีกมากมาย

ประวัติของร้านขนมคุณยาย
          ได้เปิดขายมาเป็นระยะเวลาประมาณ 30 ปี ตั้งแต่สมัยคุณยายยังสาวและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน รุ่นลูกสาวของคุณยายคือคุณ รุตา เหลืองอ่อน และในการตั้งชื่อร้านก็เกิดจากการเรียกติดปากของลูกค้าประจำที่มาอุดหนุนขนมกับคุณยาย โดยเรียกว่า “คุณยาย”จึงกลายเป็นชื่อร้านขนมคุณยายจนถึงปัจจุบันนี้


ส่วนประกอบในการทำขนมเรไร (รังไร)
-เส้นแป้งข้าวเจ้า
-มะพร้าวอ่อน
-กะทิ
-งาขาวคั่ว
-น้ำตาลทราย

วิธีการทำขนมเรไร (รังไร)

1.นำแป้งข้าวเจ้าที่นวดไว้เรียบร้อยแล้วมาใส่ไว้ในเครื่องพิมพ์เส้นแล้วกดให้ได้รูปร่างเป็นก้อนเส้นแป้งขนาดหย่อม ๆ พอดีคำ
2.นำก้อนเส้นแป้งที่ได้ไปนึ่งประมาณ 1-3 นาที
3.ช้อนก้อนเส้นแป้งที่นึ่งเรียบร้อยแล้วใส่จาน
4.ตักมะพร้าวอ่อน น้ำตาลทราย น้ำกะทิและงาขาวคั่วราดบนก้อนเส้นแป้งที่นึ่งแล้ว
5.จะได้หน้าขนมเรไร (รังไร) ที่น่ารับประทานหอม หวาน อร่อย



ที่อยู่ร้านขนมคุณยาย ตลาดเก่าร้อยปี อ่างศิลา

บ้านเลขที่ 13 หมู่ 4 ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี 20000 โทร 081-8070952 
เปิดบริการ ทุกวัน 09. 00 -17. 00 น.


วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้

แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต



1. วิธีการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศจากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

              การเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ 
              ข้อมูลสารสนเทศบนเครือข่ายนั้นมีมากมายมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นเทคโนโลยีเครือข่ายที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นในการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้ก็สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ข้อมูลสารสนเทศได้ทั่วโลก โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้ดังนี้

              1) ใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ หรือโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศและปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวซึ่งได้มีการจัดระบบในการให้บริการบนเว็บไซต์ซึ่งอาจจะมีการออกแบบและเขียนเว็บไซต์ดังกล่าวด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น

ภาษา HTML (Hyper Text Markup Language) ภาษา CSS (ย่อมาจาก Cascading Style Sheets) หรือภาษา XHTML (ย่อมาจาก Extensible HyperText Markup Language) เป็นต้น สาหรับโปรแกรม Web Browser ที่ได้รับความนิยมทั้งในอดีตและในปัจจุบัน เช่น Internet Explorer Mozilla Firefox และ Google Chrome เป็นต้น


ภาพสัญลักษณ์ของตัวอย่างโปรแกรม Web Browser



                2) ใช้โปรแกรมช่วยในการสืบค้นข้อมูล (Search Engine) หรือทับศัพท์ เสิร์ชเอนจินซึ่งเป็นโปรแกรมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและระบบเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ข้อมูลที่ต้องการค้นหา ซึ่งผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศได้ทั้งข้อความ รูปภาพ สื่อมัลติมิเดีย ภาพเคลื่อนไหว วีดิโอ หรือข้อมูลสารสนเทศอื่น ๆ

ตัวอย่างโปรแกรมช่วยในการสืบค้นข้อมูลที่ให้บริการ ได้แก่
http://www.google.com นิยมมากที่สุด, http://www.yahoo.com, http://www.bing.com, http://www.altavista.com/, http://www.thaifind.com/, http://www.ixquick.com/ http://www.thaiseek.com/, http://www.thaiall.com/, http://www.lycos.com/, http://www.excite.com/ เป็นต้น



           ภาพหน้าเว็บไซต์ของ http://www.google.co.th



2. URL คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรกับแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

              URL ย่อมากจาก Uniform Resource Locator เป็นการระบุตำแหน่งของไฟล์ที่เข้าถึงได้บนอินเตอร์เน็ต ประเภทของทรัพยากรขึ้นกับโปรโตคอลประยุกต์บนอินเตอร์เน็ตที่ใช้ การใช้โปรโตคอลของ World Wide Web หรือ Hypertext Tranfer Protocol ทรัพยากร คือเพจ HTML, ภาพ, โปรแกรมอินเตอร์เฟซ เช่น Java applet หรือไฟล์ที่ HTTP โดย URL จะเก็บชื่อของโปรโตคอลที่ต้องการ เพื่อเข้าถึงทรัพยากร ซึ่ง Domain name เป็นการระบุคอมพิวเตอร์บนอินเตอร์เน็ต และการอธิบายลำดับชั้นของตำแหน่งไฟล์ในคอมพิวเตอร์

ตัวอย่างของ URL http://www.bot.or.th/table เป็นการอธิบายว่าเว็บเพจที่ต้องการเข้าถึงด้วยการประยุกต์ HTTP อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ชื่อ www.bot.or.th และไฟล์ที่ต้องการอยู่ในไดเรคทอรี่ชี่อ table และเพจที่เป็น default page ของ ไดเรคทอรี่

HTTP URL สามารถนำไฟล์อื่นนอกจากเว็บเพจได้ เช่น ไฟล์ gif http://www.yahoo.com/yahoologo1.gif

ประโยชน์ของ URL คือ เวลาเข้าเว็บไซต์ สามารถพิมพ์ URL ลงในช่อง URL Address ของเว็บบราวเซอร์ เช่น จะเข้าเว็บ google.com ก็ต้องพิมพ์ http://www.google.com หรือ จะพิมพ์ google.com ก็ได้ไม่ต้องมี http://www.ก็ได้เดี๋ยว Browser มันจะเติมให้เอง
ดังนั้นการอ้างอิงของข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตต้องระบุ URL ให้ถูกต้อง มิฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนั้นได้

3. หลักการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
                ข้อมูลสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นมีมากมายมหาศาล ซึ่งในการสืบค้นข้อมูลนั้นต้องใช้วิจารณญาณเพื่อการตรวจสอบและประเมินเพื่อเลือกใช้ข้อมูลสารสนเทศได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดในการนาไปใช้ ดังนั้นประเด็นในการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย 3 ประเด็น วัตถุประสงค์ความต้องการในการนำข้อมูลสารสนเทศไปใช้ คุณภาพของเว็บไซต์ที่ใช้ในการเผยแพร่ และเนื้อหาที่ใช้ในการเผยแพร่ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

                1) ประเมินวัตถุประสงค์ความต้องการในการนำข้อมูลสารสนเทศไปใช้ ประกอบด้วย
                    1.1 ผู้ใช้ต้องวิเคราะห์ความต้องการของตนในการนำข้อมูลสารสนเทศไปใช้
                    1.2 ผู้ใช้แยกแยะประเด็น และเลือกหัวข้อที่ต้องการสืบค้น

                 2) พิจารณาด้านคุณภาพเว็บไซต์ที่ใช้ในการเผยแพร่ ได้แก่
                      2.1 ข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ใน เว็บไซต์หรือไม่
                      2.2 ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวนั้นเป็นสาระเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ใน การสร้าง หรือเผยแพร่ข้อมูลของเว็บไซต์หรือไม่
                      2.3 เว็บไซต์ดังกล่าวได้ให้ที่อยู่ e-mail address ในการให้ผู้อ่านติดต่อ สอบถามหรือไม่ หรือสามารถติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้หรือไม่
                      2.4 เว็บไซต์ดังกล่าวสามารถเชื่อมโยง (link) ไปยังเว็บไซต์อื่นที่อ้างถึงได้หรือไม่
                      2.5 เว็บไซต์ดังกล่าวมีการปรับปรุงข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องหรือไม่
                      2.6 เว็บไซต์ดังกล่าวมีช่องทางให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น
                      2.7 เว็บไซต์ดังกล่าวมีข้อความเตือนผู้อ่านให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ ใช้ข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์
                      2.8 เว็บไซต์ดังกล่าวควรมีการระบุข้อความว่า เป็นเว็บไซต์ส่วนตัวหรือระบุแหล่งที่ให้การสนับสนุนในการสร้างเว็บไซต์
                      2.9 เว็บไซต์ดังกล่าวมีข้อความเตือนผู้อ่านให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ ใช้ข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์

                3) พิจารณาด้านเนื้อหาข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ที่นำเสนอ ได้แก่
                     3.1 ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวมีการบอกแหล่งที่มาของข้อมูลหรือมีการอ้างอิง เนื้อหาที่นำเสนอบนเว็บไซต์หรือไม่
                     3.2 เนื้อหามีการระบุวันเวลาในการเผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์
                     3.3 เนื้อหาเว็บไซต์ไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม และจริยธรรม
                     3.4 เนื้อหาข้อมูลสารสนเทศระบุวันเวลาในการปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุดหรือไม่
                     3.5 เนื้
อหาดังกล่าวในข้อมูลสารสนเทศมีการระบุชื่อผู้เขียนบทความหรือผู้ให้ข้อมูลบนเว็บไซต์หรือไม่
                     3.6 คุณภาพของเนื้อหาสาระในการเขียนเนื้อหาข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ มีความถูกต้อง ประกอบด้วย
                           3.6.1 สำนวนภาษาที่ใช้ในเขียนเพื่อการสื่อสารสารสนเทศบนเว็บไซต์ควรใช้ภาษาที่ถูกต้อง ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และใช้ภาษาที่เป็นทางการ สละสลวย และสุภาพ โดยไม่ใช้ภาษาปากหรือภาษาพูดที่ไม่สุภาพ
                           3.6.2 ไม่ควรมีคำสะกดที่ผิดพลาดในข้อความที่เผยแพร่บนสารสนเทศเว็บไซต์
                    3.7 เนื้อหาสารสนเทศบนเว็บไซต์ดังกล่าวไม่มีความลำเอียงในการนำเสนอสาระ หรือการแสดงความคิดเห็น โดยควรใช้ข้อเท็จจริงในการสนับสนุนการวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นดังกล่าว

4. Virtual Field Trip คืออะไร

               การศึกษานอกสถานที่เสมือนจริง(Virtual Field Trip) คือ เป็นการจำลองแบบสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงหรือสถานที่จริงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้เรียนได้เห็นจริงและเข้าใจง่าย


5. ความหมายของพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง พร้อมยกตัวอย่างด้วยการทำ Link เว็บพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง

              พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Virtual Museum) หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเสนอภาพสามมิติ เสมือนจริงที่ถูกแปลงเป็นตัวเลข ในเครื่องมือนี้อาจเป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ข้อมูลสารสนเทศต่างๆ โดยใช้กระบวนการอินเทอร์เน็ตในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นข้อมูลออนไลน์ที่ดูซ้ำได้หลายครั้งเพื่อศึกษาค้นคว้า ตรวจสอบและสารวจตรวจค้นได้


ตัวอย่างพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง





6. ความหมายของเทคโนโลยี AR มีประโยชน์อย่างไรในการเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

                เทคโนโลยีเสมือนจริง (Augmented Reality Technology)  หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “เทคโนโลยี AR” (Augmented Reality) เป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานเอาโลกในความเป็นจริงและโลกเสมือนที่สร้างขึ้นมาผสานเข้าด้วยกันผ่านซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ เป็นการสร้างข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบบนโลกเสมือน (virtual world) เช่น ภาพกราฟิก วิดีโอ รูปทรงสามมิติ และข้อความ ตัวอักษร ให้ผนวกซ้อนทับกับภาพในโลกจริงที่ปรากฏบนกล้อง


พิพิธภัณฑ์วิทยาศาตร์(ตึกลูกเต๋า)

เทคโนโลยี AR แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 
               1. แบบที่ใช้ภาพสัญลักษณ์
               2. แบบที่ใช้ระบบพิกัดในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างข้อมูลบนโลกเสมือนจริง
               แบบที่แสดงอยู่นี้เป็นแบบที่ใช้ภาพสัญลักษณ์ซึ่งในทางเทคนิคแล้วเรียกว่า “Marker” (อ่านว่า มาร์คเกอร์) หรืออาจจะเรียกว่า “AR Code” ก็ได้ โดยใช้กล้องเว็บแคมในการรับภาพ เมื่อซอฟท์แวร์ที่เราใช้งานอยู่ประมวลผลรูปภาพเจอสัญลักษณ์ที่กาหนดไว้ก็จะแสดงข้อมูลภาพสามมิติที่ถูกระบุไว้ในโปรแกรมให้เห็น เราสามารถที่จะหมุนดูภาพที่ปรากฏได้ทุกทิศทางหรือเรียกว่าหมุนได้ 360 องศา (http://www.nsm.or.th/nsm2008/vr_museum/)

ประโยชน์ในการเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
               
              ปัจจุบันเทคโนโลเสมือนจริงถูกนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านอุตสาหกรรม การแพทย์ การตลาด การบันเทิง การสื่อสาร โดยใช้เทคโนโลยีความจริงเสมือนมาผนวกเข้ากับเทคโนโลยีภาพผ่านซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ และแสดงผลผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ทำให้ผู้ใช้สามารถนำเทคโนโลยีเสมือนจริงมาใช้กับการทำงานแบบออนไลน์ที่สามารถโต้ตอบได้ทันทีระหว่างผู้ใช้กับสินค้าหรืออุปกรณ์ต่อเชื่อมแบบเสมือนจริงของโมเดลแบบสามมิติ ที่มีมุมมองถึง 360 องศา โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปสถานที่จริง


วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่มนุษย์สร้างขี้นประเภทวัตถุและอาคารสถานที่



สำรวจ และศึกษาดูงาน
ณ สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี

                                                                
               สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นหน่วยงานส่งเสริมวิชาการของมหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็นศูนย์บริการ สารสนเทศเพื่อการศึกษา ค้นคว้า และวิจัย พัฒนามาจากห้องอ่านหนังสือ ซึ่งเปิดบริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 โดยใช้ห้องเลขที่ 203 ในอาคารเรียนของวิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 ห้องสมุดได้ย้ายมาอยู่อาคารอำนวยการ โดยได้ใช้ห้องชั้นล่างของอาคารเป็นที่ปฏิบัติงานจนถึงปี พ.ศ. 2503 วิทยาลัยได้สร้างอาคารเรียนหลังใหม่เสร็จเรียบร้อย ห้องสมุดได้ย้ายอีกครั้งมาอยู่ในห้องโถงชั้นล่างของอาคารเรียนซีกหนึ่ง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2516 วิทยาลัยได้งบประมาณก่อสร้างอาคารหอสมุดเป็นเอกเทศ มีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น และเปิดใช้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2516
               เมื่อวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้รับการเปลี่ยนฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนคริน ทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน และมหาวิทยาลัยบูรพา ตามลำดับนั้น ในปีงบประมาณ 2536-2539 สำนักหอสมุดได้รับงบประมาณการก่อสร้างอาคารสำนักหอสมุดหลังใหม่สูง 7 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 11,500 ตารางเมตร และได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ “อาคารเทพรัตนราชสุดา” และเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2538







บริการห้องสมุด
Web OPAC 
Buu Library E-ResourcesInformation LiteracyReference and Information Service
Document Delivery Service
Book – drop Service
Interlibrary Loan Service
Internet Service
Audio-Visual Service
Cable TV Service
Mini Theater Room
Group Study Room
Locker Service
Photocopy

Wireless LAN (Wi-Fi)Circulation Service

บริการยืม-คืนทรัพยากรห้องสมุด
เป็นการให้บริการยืมและรับคืนทรัพยากรสารสนเทศ โดยระบบห้องสมุดอัตโนมัติ ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ บริเวณเคาน์เตอร์ยืม-คืน ชั้น 2 ของสำนักหอสมุดและให้บริการตามเวลาที่ห้องสมุดเปิดบริการ ตามสิทธิการยืมของสมาชิกห้องสมุดแต่ละประเภท ผู้มีสิทธิยืมหนังสือได้ต้องทำบัตรสมาชิกห้องสมุดโดยแสดงบัตรข้าราชการ บัตรพนักงานมหาวิทยาลัย บัตรนิสิต หรือบัตรสมาชิกห้องสมุด ทุกครั้งที่ติดต่อยืมทรัพยากร

บริการวารสารและนิตยสาร
เป็นการให้บริการวารสารภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ ฉบับใหม่ล่าสุดจัดเก็บในแฟ้มปกพลาสาติก ให้บริการบนชั้นวารสารใหม่ โดยเรียงตามลำดับอักษร ก-ฮ และ A-Z ใช้บริการได้ที่ ฝ่ายเอกสารและวารสาร ชั้น 4

บริการโสตทัศนศึกษา
เป็นการให้บริการให้ยืม-คืนสี่อโสตฯ ทุกประเภท ให้บริการห้องจัดฉายภาพยนตร์ ให้บริการศูนย์ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง และให้บริการอินเตอร์เน็ต ใช้บริการได้ที่ ฝ่ายโสตทัศนศึกษา ชั้น 6

บริการยืมระหว่างห้องสมุด
เป็นการให้บริการค้นหาและติดต่อสารสนเทศทุกประเภทที่ไม่มีในสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อนำมาให้บริการกับผู้ใช้ โดยผู้ใช้บริการขอสำเนาเอกสารจากบทความวารสาร หนังสือ วิทยานิพนธ์ งานวิจัย หรือสารสนเทศอื่น ๆ โดยสำนักหอสมุดจะติดต่อไปยังแหล่งอื่น ๆ ที่มีสารเทศนั้น ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้บริการ ใช้บริการได้ที่ ฝ่ายบริการสารสนเทศ ชั้น 2
บทความวารสาร หนังสือ/วิทยานิพนธ์
บริการทำบัตรสมาชิกห้องสมุด
ผู้ใช้บริการที่ประสงค์จะยืมทรัพยากรสารสนเทศของสำนักหอสมุด ต้องสมัครเป็นสมาชิกห้องสมุด เพื่อทำบัตรใช้ในการยืมทรัพยากรสารสนเทศ ใช้บริการได้ที่ฝ่ายบริการสารสนเทศ ชั้น 2

บริการสำเนาบทความวารสาร / Journal copy service
เป็นบริการสำเนาบทความวารสาร ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ที่มีในสำนักหอสมุด ให้กับอาจารย์ นักวิจัย มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนด้านการเรียน การสอน การวิจัย โดยผู้ใช้บริการสามารถรับบทความ ได้ที่ เคาน์เตอร์บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า ชั้น 2 สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา*เมื่อได้รับคำขอจากผู้ใช้บริการ บรรณารักษ์จะแจ้งผลการดำเนินการให้ผู้ใช้บริการทราบทางอีเมล์*

บริการเสนอแนะทรัพยากรสารสนเทศเข้าห้องสมุด
เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้บริการเสนอแนะสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อสารสนเทศที่น่าสนใจหรือต้องการให้สำนักหอสมุดจัดหาเข้าห้องสมุด เนื่องจากสิ่งพิมพ์นั้นใช้ในการประกอบการเรียนการสอน การทำงาน และการทำวิจัยที่สอดคล้องกับหลักสูตรหรือนโยบายของมหาวิทยาลัยบูรพา

บริการ Document Delivery Service (DDS)
เป็นบริการยืมหนังสือ วิทยานิพนธ์ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ให้กับอาจารย์ นักวิจัย บุคลากรในมหาวิทยาลัยบูรพา เพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนด้านการเรียน การสอน การวิจัย โดยจัดส่งที่ห้องสมุดคณะฯ ผู้ใช้บริการสามารถรับหนังสือและวิทยานิพนธ์ได้ที่ห้องสมุดคณะฯ ทุกวันจันทร์และวันพุธเวลา09.30-12.00 น.

เว็บไซต์http://www.lib.buu.ac.th/

แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทสื่อ


แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทสื่อ  


หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ใช้เป็นช่องทางการสื่อสาร แยกได้เป็น 2 ประเภท คือ
                      
1). สื่อทางด้านกายภาพ ได้แก่ วัสดุ ลักษณะสิ่งพิมพ์ ฟิล์ม แผ่นภาพโปร่งใส เทปบันทึกภาพ เทปบันทึกเสียง แผ่นCDชนิดเสียงและภาพ เป็นต้น อุปกรณ์ เป็นตัวช่องทางผ่านในลักษณะเครื่องฉาย เครื่องเสียงชนิดต่างๆ เป็นต้น
                      
2). สื่อทางด้านวิธีการ ได้แก่ รูปแบบที่เกี่ยวข้องกบกิจกรรมต่างๆ ทั้งการใช้เทคโนโลยีพื้นบ้าน และเทคโนโลยีระดับสูง 


สื่อท้องถิ่นที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ
ชื่อของเล่น
จานบิน ใบพัด หรือ คอปเตอร์ไม้ไผ่ เป็นของเล่นพื้นบ้านของไทยที่สามารถทะยานขึ้นฟ้าได้ อีกหนึ่งในของเล่นชิ้นโปรดที่เด็ก มักจะพกพาออกไปเล่นในที่โล่งกว้าง




วัสดุและวิธีการผลิต
วัสดุ-อุปกรณ์  - ไม้ไผ่
 - คัตเตอร์หรือมีด
 - มีดอีโต้ (สำหรับผ่าไม้ไผ่)
 - ไม้บรรทัด(สำหรับใช้วัด)
 - ดินสอหรือปากาเคมี(สำหรับใช้ขีดรอยที่ไม้)

        


วิธีการผลิต
1. ตัดไม้ไผ่เป็นท่อนขนาดความกว้าง 1.5 เซนติเมตร ยาว 10 เซนติเมตร หนา 2 เซนติเมตร แล้วเจาะรูตรงกลาง
     
   
 

2. ใช้มีดเหลา ปาดทั้งสองข้าง
    
    

3. เหลาไม้ให้กลมเล็ก ขนาดความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร สำหรับใส่เป็นแกนใบพัด
 

4. นำใบพัดประกอบเข้ากับแกนไม้ โดยการที่เจาะรูตรงกลางของใบพัด


5. ได้จานบินใบพัด หรือคอปเตอร์ไม้ไผ่ที่สมบูรณ์ ดังภาพ

          
                                         

ขั้นตอนและวิธีการเล่น
ใช้สองมือประสานที่แกนใบพัดแล้วปั่นไปข้างหน้า จานบินก็จะหมุนลอยขึ้นฟ้า หรือจะปั่นไปทางข้างทแยงขึ้น ทแยงลง ได้หลายทิศทาง
                       
                       


คุณประโยชน์จากของเล่น

 - ของเล่นทำให้เด็กฝึกสมาธิและทำให้เด็กได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน

 - ของเล่นพื้นบ้านจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี และมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ด้านต่างๆของเด็กๆ และที่สำคัญยังได้ร่วมอนุรักษ์สิ่งดีๆเหล่านี้ไว้ให้อยู่ในสังคมไทยของเราต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน

 - ของเล่นที่ทำจากธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการเด็ก เด็กจะได้ใช้สมองและจินตนาการในการเล่น

 - ของเล่นเป็นเสมือนเครื่องมือที่นำเด็กไปสู่การพัฒนาตนเองกับสิ่งแวดล้อม

 - กระบวนการทำของเล่นไม่เพิ่มสารเคมีหรือสารพิษที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน และไม่เป็นอันตรายกับเด็กเพราะทำจากวัสดุธรรมชาติ

 - ของเล่นช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสพื้นผิวที่หลากหลายทำให้เด็กรู้จักพื้นผิวที่แตกต่าง

 - ของเล่นพื้นบ้านสามารถอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เด็กได้เนื่องจากมีการถ่ายทอดของเล่นมาจากรุ่นสู่รุ่น

 - ของเล่นท้องถิ่นเป็นสื่อกลางในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ ครอบครัวและชุมชนได้

 - ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ เนื่องจากประดิษฐ์ของเล่นเอง

 - ส่วนมากของเล่นที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติมีความทนทาน ซ่อมและบำรุงรักษาได้ง่าย

แหล่งข้อมูล

สุชานันท์. (2553). จานบินไม้ไผ่. วันที่ค้นข้อมูล 16 มิถุนายน 2556, เข้าถึงได้จาก http://khonglenthai.blogspot.com/2010/01/blog-post_17.html
โรงเรียนบ้านป่าแดด (เวทยาสมิทธ์). แนะนำของเล่นพื้นบ้าน.วันที่ค้นข้อมูล 16 มิถุนายน 2556, เข้าถึงได้ จาก http://www.padaetwettaya.ac.th/konglen/konglan2/o5.html

วิธีการซ่อมและรักษา

ทำความสะอาดได้ด้วยการนำผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ด และนำไปตากแดดให้แห้ง ไม่ควรทำให้เปียกหรือเก็บไว้ในที่ชื้นจะทำให้ไม้ขึ้นรา
นำมาติดกาวตราช้างให้มีความทนทาน ควรระมัดระวังในการเล่น ไม่ควรเล่นอย่างรุนแรง
ถ้าหากเสียหายจริงๆ สามารถทำใหม่ได้