แนวทางการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคต
การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
ศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ช่วงเวลาปี ค.ศ.2001-2100 ซึ่งเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร สังคม วัฒนธรรม ส่งผลให้การจัดการเรียนรู้จึงได้รับผลกระทบ
วัตถุประสงค์ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
มี 4 ประการ คือ
1. ตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้เพื่อทักษะแห่งอนาคตใหม่ในศตวรรษที่ 21
2. ตอบสนองความทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของหลักสูตร และสาระการเรียนรู้
4. ตอบสนองการเรียนรู้รายบุคคลบนโลกสังคมออนไลน์
ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ
ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ ความสามารถ สมรรถนะที่ต้องมีในแต่ละบุคคลเพื่อให้สามารถปรับตัว และดำเนินชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตในสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีในช่วงปี ค.ศ.2001-2100
บทบาทของผู้สอนยุคใหม่ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
บทบาทของผู้สอนก่อนศตวรรษที่ 21 และในศตวรรษที่ 21

แนวทางในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคต
1. การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้สาหรับการศึกษาในระบบโรงเรียน
1.1 มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้
1.2 มุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองด้วยการปฏิบัติ
1.3 เน้นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
1.4 เน้นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเกิดทักษะชีวิตและการทำงานในอนาคตโดยอาจ ใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บุคคลมาถ่ายทอดให้ความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพต่าง ๆ
2. การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้สาหรับนอกระบบและอัธยาศัย2.1 มุ่งเน้นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งที่เป็นอาคารสถานที่ ธรรมชาติ โดยเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้เชิงธุรกิจที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และมีการจำหน่าย สินค้าในแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้นั้น ๆ
2.2 เน้นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ นั้น ๆ
2.3 เน้นการจัดแสดง การสาธิต เพื่อให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ในการเรียนรู้
เทคนิควิธีการสอนแบบโครงงานในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มี 2 ประเภท คือ
1. วิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)ขั้นตอนวิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)
1. ขั้นกำหนดปัญหา และทำความเข้าใจถึงปัญหา
2. ขั้นแยกปัญหา และวางแผนแก้ปัญหา
3. ขั้นลงมือแก้ปัญหาและเก็บข้อมูล
4.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมความรู้เข้าด้วยกันและแสดงผล
5. ขั้นสรุปและประเมินผลหรือขั้นสรุปและการนำไปใช้
2. วิธีการสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning)
ลักษณะของวิธีการสอนแบบโครงงาน
1) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยผ่านประสบการณ์ โดยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จากการกระทำ (Learning By Doing)
2) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เลือกกระทำในสิ่งที่สนใจ ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง มีการวางแผน มีการแก้ปัญหาการทำงานอย่างมีระบบเพื่อให้กิจกรรมนั้นสำเร็จ
ประเภทของวิธีสอนแบบโครงงาน มี 3 ประเภท ได้แก่
1) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามวัตถุประสงค์ของเนื้อหาสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น ๆ คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายโดยกิจกรรมต่าง ๆ ผู้สอนนั้นต้องวางแผนให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะการคิด ทักษะการสื่อสารและความร่วมมือ ทัศนคติ ค่านิยม ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
2) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามความสนใจของผู้เรียน คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนนั้นเป็นผู้วางแผน และระดมสมองเพื่อกำหนดขั้นตอนการทำโครงงานของผู้เรียนโดยที่ผู้เรียนนั้นทำตามความต้องการ และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่ม โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือเป็นการบูรณาการทักษะ ความรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และทักษะต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
3) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผสมผสานบูรณาการแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้อื่น ๆ และเทคโนโลยีการศึกษา คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้สอนได้นำหลักการแนวคิดทฤษฎีการศึกษา การเรียนรู้ และเทคโนโลยีการศึกษา เช่น การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยการนำตนเอง การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามแนวคิดจิตตปัญญา การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต เป็นต้น
กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 การเริ่มต้นโครงงาน เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจ ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เลือกเรื่องที่จะศึกษาร่วมกัน
ระยะที่ 2 การพัฒนาโครงงาน เป็นขั้นที่ผู้เรียนกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหา แล้วตั้งสมมติฐานเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
ระยะที่ 3 ขั้นสรุป เป็นระยะที่ผู้สอน และผู้เรียนแบ่งปันประสบการณ์ การทำงานและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จมีกิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการ ดังนี้
1. ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็กๆ
2. ผู้เรียน นำเสนอผลงาน (แสดงเป็นแผงโครงงาน) ให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้ สรุปและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
1) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยผ่านประสบการณ์ โดยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จากการกระทำ (Learning By Doing)
2) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เลือกกระทำในสิ่งที่สนใจ ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง มีการวางแผน มีการแก้ปัญหาการทำงานอย่างมีระบบเพื่อให้กิจกรรมนั้นสำเร็จ
ประเภทของวิธีสอนแบบโครงงาน มี 3 ประเภท ได้แก่
1) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามวัตถุประสงค์ของเนื้อหาสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น ๆ คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายโดยกิจกรรมต่าง ๆ ผู้สอนนั้นต้องวางแผนให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะการคิด ทักษะการสื่อสารและความร่วมมือ ทัศนคติ ค่านิยม ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
2) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามความสนใจของผู้เรียน คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนนั้นเป็นผู้วางแผน และระดมสมองเพื่อกำหนดขั้นตอนการทำโครงงานของผู้เรียนโดยที่ผู้เรียนนั้นทำตามความต้องการ และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่ม โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือเป็นการบูรณาการทักษะ ความรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และทักษะต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
3) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผสมผสานบูรณาการแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้อื่น ๆ และเทคโนโลยีการศึกษา คือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้สอนได้นำหลักการแนวคิดทฤษฎีการศึกษา การเรียนรู้ และเทคโนโลยีการศึกษา เช่น การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยการนำตนเอง การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามแนวคิดจิตตปัญญา การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต เป็นต้น
กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 การเริ่มต้นโครงงาน เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจ ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เลือกเรื่องที่จะศึกษาร่วมกัน
ระยะที่ 2 การพัฒนาโครงงาน เป็นขั้นที่ผู้เรียนกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหา แล้วตั้งสมมติฐานเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
ระยะที่ 3 ขั้นสรุป เป็นระยะที่ผู้สอน และผู้เรียนแบ่งปันประสบการณ์ การทำงานและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จมีกิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการ ดังนี้
1. ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็กๆ
2. ผู้เรียน นำเสนอผลงาน (แสดงเป็นแผงโครงงาน) ให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้ สรุปและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน